สวัสดีค่า~
วันนี้มาแปลก ไม่ได้มาเกี่ยวกับเรื่องวาดรูป แต่จะพูดถึงการสอบทุนรัฐบาลญี่ปุ่น Monbukagakusho Scholarship หรือที่เรียกกันว่า MEXT ล่ะค่ะ!
ทุกคนคงเดาได้ว่าทำไมมาอัพบล็อกเรื่องนี้ เพราะว่าเราสมัครทุนนี้ผ่านแล้วนั่นเอง! สด ๆ ร้อน ๆ เลยค่ะ ตอนนี้เหลือรอวันเปิดเทอมอย่างเดียวแล้ว
เอาล่ะ กลับมาเรื่องทุน ทุกคนอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับทุนนี้มาบ้าง เป็นทุนญี่ปุ่นที่เรียนฟรี มีเงินรายเดือนให้ และไม่ต้องใช้ทุนค่ะ หรือที่ทุกคนเรียกกันว่าทุนเทพ อืม ก็เทพจริง ๆ นั่นแหละ ใคร ๆ ก็อยากได้
เนื่องจากมีเว็บไซต์และบทความเกี่ยวกับข้อมูลของทุน MEXT นี้เยอะแล้ว เราเลยจะเขียนเน้นเกี่ยวกับประสบการณ์การไปสอบทุนและคำแนะนำของเราละกันนะคะ และเชื่อว่าคงเป็นเรื่องที่คนที่สนใจสอบน่าจะอยากรู้มากที่สุด ส่วนรายละเอียดทุนเราจะรวมรวบเป็นลิงค์บทความให้ค่ะ
ทุนที่เราสมัครไปเป็น Research Student นะคะ คือเป็นทุนสำหรับนักศึกษาวิจัย 2 ปี และภายในสองปีนั้นถ้าเราต้องการต่อปริญญาโทก็ต้องสมัครสอบเอง ถ้าสอบติดก็ทำเรื่องรับทุนต่อได้จนจบโทจนถึงเอกเลยค่ะ (ถ้าเข้าใจไม่ผิด) และสาขาที่เราไปเรียนจะต้องเป็นสาขาแขนงเดียวกันกับที่จบปริญญามาค่ะ
ส่วนนักศึกษาวิจัยทำอะไรบ้างนั้น เรายังตอบไม่ได้ค่ะ เพราะยังไม่ได้เริ่มเรียน แหะ ถ้ามีข้อมูลครบแล้วไว้จะมาเล่าอีกทีนะคะ
ว่าแล้วไปอ่านเรื่องสอบทุนกันเลย!
■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■
1. หาข้อมูลทุน
แรกสุดก็ต้องหาข้อมูลว่าทุนที่เราสนใจเป็นยังไง มีรายละเอียดอะไรบ้าง
เริ่มจากอ่านข้อมูลในออฟฟิเชียลเว็บไซต์ค่ะ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
http://www.th.emb-japan.go.jp/th/jis/study.htm
ตอนนี้ (21 Apr 2017) ข้อมูลในลิงค์ยังเป็นของปี 2017 อยู่ ข้อมูลปี 2018 น่าจะมาตอนกลางปีค่ะ นี่คือตารางของปีที่เราสอบ คิดว่าน่าจะคล้าย ๆ กัน

พอดาวน์โหลดไฟล์อ่านข้อมูลเสร็จเรียบร้อยก็ดูว่าเราสนใจทุนไหนและสมัครทุนไหนได้บ้าง ต้องใช้เกรดเท่าไหร่ในการสมัคร โดยปกติก็จะเท่านี้

แต่ก็ยังมีกรณียกเว้นอื่น ๆ อีก ต้องลองอ่านดูนะคะ
หลังจากนั้นเราก็เอาชื่อทุนไปเซิชกูเกิ้ลแล้วไล่อ่านทุกสิ่งอย่างที่มีคนเขียนไว้เกี่ยวกับการสมัครและการสอบทุน แล้วก็ถามเพื่อนที่เคยได้ทุนด้วย (เพื่อนช่วยได้เยอะมาก ;;v;; ขอบคุณพอลลี่มา ณ ที่นี้)
แนะนำให้อ่านบทความของคุณบีมค่ะ เขียนไว้ค่อนข้างละเอียดเลย มีทั้งข้อมูลการเขียน sutdy plan และการสอบด้วย
2. เอกสาร
พออ่านข้อมูลครบแล้วก็พิมพ์ใบสมัครมากรอกและเตรียมเอกสารค่ะ ลิสต์เอกสารที่ต้องใช้จะมีเขียนไว้อย่างละเอียดในไฟล์ข้อมูลทุนอยู่แล้ว ส่วนใหญ่ก็ไม่ยาก

ที่ยากน่าจะเป็นตอนกรอกข้อมูลช่องนี้มากกว่า

ไม่เคยไปเรียนแล้วจะเลือกอ.ยังไงเนอะะะะะะะะ
มาค่ะ จะบอกวิธีให้ บางท่านอาจจะรู้จักกับอาจารย์ที่ปรึกษาที่ญี่ปุ่นอยู่แล้วก็อาจจะง่ายหน่อย แต่สำหรับใครที่ไม่มีข้อมูลเลยแบบเราก็สามารถเข้าไปดูข้อมูลของมหาวิทยาลัยและอาจารย์ผู้สอนได้ที่เว็บไซต์นี้ค่ะ
แล้วเราก็เชื่อว่ามันต้องมีคนที่เข้าเว็บไซต์ไปแล้วดูไม่รู้เรื่องแบบเราอยู่แน่นอน… แบบ งงมาก คือต้องเชิชยังไงเหรอ
เพราะฉะนั้นเราจะแนะนำวิธีที่เราทำด้วยค่ะ
1. เช็คมหาวิทยาลัยที่อยากเข้า เซิชข้อมูลในกูเกิ้ล เข้าไปดูในเว็บไซต์มหาวิทยาลัย ดูคณะที่สอน ดูโปรแกรม ดูโลเคชั่นว่าอยากอยู่เมืองไหน แถวไหน โตเกียว? โอซาก้า? เกียวโต? ฮอคไกโด? หรือเมืองอื่น ๆ อีกมากมาย แต่แนะนำว่าให้ดูว่ามีคณะที่เราอยากเรียนมั้ยเป็นอันดับแรก
2. ในเว็บของมหาวิทยาลัยจะมีรายชื่ออาจารย์ผู้สอนอยู่แล้ว ส่วนใหญ่แยกตามคณะเลยค่ะ อย่างสายอาร์ตแบบเราก็จะมีผลงานของอาจารย์แปะไว้ข้าง ๆ ชื่อ ถ้าไม่เจอก็เอาชื่ออาจารย์ไปเซิชกูเกิ้ลอีกทีค่ะ แล้วก็เลือกท่านที่เราชอบผลงานหรือคิดว่าน่าจะเหมาะกับสไตล์เรา หรือกำลังวิจัยเรื่องเดียวกับที่เราอยากทำ
ทั้งนี้ทั้งนั้น เราสามารถเปลี่ยนมหาวิทยาลัย สาขาและอาจารย์ได้อีกทีหลังสอบผ่าน (ตอนยื่นเอกสารอย่างเป็นทางการ) แต่เปลี่ยนหัวข้อ Study Plan ไม่ได้แล้วนะ
3. Study Plan / Study Program
ในเอกสารที่เราจะต้องยื่นตั้งแต่แรกมี Study Plan ด้วยค่ะ เป็นแผนการศึกษาที่เราต้องเขียนว่าเราไปเรียนคราวนี้ไปทำอะไร ต้องการจะวิจัยอะไร ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการยื่นทุนแล้วค่ะ
แนะนำว่าให้เขียนเป็นรูปธรรมมากที่สุด เช่น
1. เราต้องการไปวิจัยอะไร เพราะอะไร
2. ในการจะทำวิจัยนั้นจะมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
3. งานวิจัยเรานั้นมีประโยชน์อย่างไร คาดว่าจะมีผลลัพธ์อย่างไร
เขียนให้จับต้องได้แต่ฟังดูดี แบบที่ฟังดูทำได้บนพื้นฐานความเป็นจริงน่ะค่ะ
อย่างของเราจบด้านวาดการ์ตูนมามา หัวข้อของเราคือ “ศึกษาการวาดต้นไม้” ค่ะ
นี่จริงจัง ฮ่าๆๆๆ หลัก ๆ เลยคือชอบวาดและอยากวาดให้ดีขึ้นเพราะไม่ค่อยมีข้อมูลด้านนี้ ปกติก็วาดโดยมีรูปถ่ายเป็น reference เป็นหลัก อยากวาดให้ได้เยอะขึ้นและเจาะลึกขึ้น เราก็เขียนไปค่ะว่าจะศึกษาโดยไปสวนพฤกศาสตร์และธรรมชาติ ดูการเปลี่ยนแปลงของต้อนไม้ในแต่ละฤดู และทำฮาวทูวาดรูปเพื่อให้ประโยชน์กับคนที่สนใจด้านนี้ แบบว่าเวลาวาดการ์ตูนยังต้องหาหนังสือฮาวทูอนาโตมี่กับเปอร์มาอ่าน แต่ไม่เจอพวกเกี่ยวกับต้นไม้เลยทั้ง ๆ ที่มันก็โผล่มาในฉากตลอด อะไรก็ว่าไป (แต่ทำได้เท่าที่เขียนแพลนไว้มั้ยนี่ไม่รู้ ก็ต้องดูกันอีกที บอกแล้วเอาแบบพอจับต้องได้และฟังดูดี)
จริง ๆ เขียนเป็นทางการกว่านี้และฟังดูมีเหตุผลมากกว่านี้ แต่คร่าว ๆ ก็ประมาณนี้ คือแนะนำว่าให้เขียนหัวข้อที่อยากวิจัยจริง ๆ ค่ะ ไม่ใช่แค่หัวข้อที่ฟังดูน่าจะผ่านง่าย ไม่งั้นมันจะลำบากตอนเรียนทีหลัง
แผนวิจัยสามารถเขียนเป็นภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่นก็ได้ค่ะ ถ้าใครเขียนญี่ปุ่นได้ก็แนะนำญี่ปุ่นดีกว่า ถ้ามีอาจารย์ที่ปรึกษาช่วยเช็คได้ยิ่งดีเลย ส่วนเราไม่มีอาจารย์ที่ปรึกษา เลยเขียนเองแล้วให้เพื่อนญี่ปุ่นเช็คแกรมม่านิดหน่อยค่ะ
ใบนี้เราสามารถปริ๊นท์ใส่ A4 แยกแล้วไปยื่นพร้อมกับเอกสารอื่น ๆ ได้เลยค่ะ
4. ยื่นเอกสารทุน
หลังจากอ่านข้อมูลจนฝังเข้าไปในหัวหมดแล้ว ก็ปริ๊นท์ใบสมัครมาเขียนพร้อมเตรียมเอกสารให้เรียบร้อยแล้วไปยื่นที่สถานทูตญี่ปุ่นค่ะ ตอนยื่นเจ้าหน้าที่ก็จะเช็คให้ว่าเราเขียนอะไรตกหล่นไปรึเปล่าแล้วก็แก้เพิ่มตรงนั้นเลย
ตอนเราไปยื่นโดนทักว่าอาจจะได้ทุนยากหน่อย เพราะไปเรียนที่ญี่ปุ่นมานาน (เราจบม.ปลายกับปริญญาตรีที่ญี่ปุ่นค่ะ แล้วกลับมาอยู่ไทย 1 ปีครึ่งก่อนจะยื่นทุน) ส่วนใหญ่ทางรัฐบาลก็อยากให้ทุนกับคนที่ไม่เคยไปกัน พอได้ยินแบบนี้แล้วก็แอบคิดเหมือนกันว่าไม่ติดแน่ ๆ เลยยยย
5. สอบข้อเขียน
หลังจากยื่นเอกสารก็รอสอบข้อเขียน ซึ่งวิชาที่ต้องสอบจะแบ่งตามสายที่จะเรียนตามนี้
สายวิชา

วิชาที่จะต้องสอบของแต่ละสาย

เราเรียนสายศิลปะเลยสอบแค่อังกฤษอย่างเดียวค่า เย้~
และทุกคนสามารถเลือกสอบภาษาญี่ปุ่นเพิ่มได้ (ยกเว้นใครที่ไปศึกษาด้านภาษาญี่ปุ่นโดยเฉพาะจะบังคับสอบภาษาญี่ปุ่นอยู่แล้วค่ะ)
อย่างเราที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษมานานมากและกากแกรมม่าอังกฤษเหลือเกิน ก็จะสอบภาษาญี่ปุ่นด้วยเพื่อดึงโปรไฟล์คะแนนให้มันดูดีขึ้นค่ะ ;;v;; แบบว่าถึงอิ้งเราจะกากแต่ญี่ปุ่นเราดีนะ! เราอยู่รอดได้ในประเทศเกาะนะ!
วิธีเตรียมตัวสอบของเราคือทำข้อสอบเก่าค่ะ สามารถหาได้ในนี้ มีย้อนไปหลายปีอยู่
http://www.studyjapan.go.jp/en/toj/toj0302e-32.html
ถ้าไม่พอลองเสิร์ชคำว่า MEXT past exam ด้วยก็ได้ค่ะ อาจจะมีอีก
แต่เอาจริง ภาษาอังกฤษเราร่อแร่มาก แบบ ได้แค่ประมาณครึ่งเดียวอะ ถ้าไม่มีญี่ปุ่นคงชวดไปแล้ว
ส่วนข้อสอบญี่ปุ่นไม่นับคะแนนค่ะ เค้าเอาไว้เช็คว่าควรเรียนภาษาก่อนมั้ย ใครที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลยก็สามารถผ่านทุนได้อยู่ดีค่ะ แต่คนอ่อนอังกฤษแบบเราต้องใช้มันเป็นตัวช่วยค่ะ
ข้อสอบญี่ปุ่นคล้าย ๆ สอบวัดระดับ มีศัพท์ มีไวยากรณ์ การอ่าน (ไม่มีฟัง) มีคันจิแต่ไม่เยอะและบางข้อต้องเขียนเอา ข้อสอบไล่จากง่ายไปยากในชุดเดียว ทำเท่าที่ได้ค่ะ ข้อสอบนี้จะเป็นตัววัดว่าเราจะต้องเรียนภาษาญี่ปุ่นเสริมมั้ยตอนไปถีงญี่ปุ่นช่วงแรก
หนังสือญี่ปุ่นที่เราอ่านทวนคือหนังสือรวมไวยากรณ์ เพราะหลายรูปประโยคก็ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันจนลืม
6. สอบสัมภาษณ์
หลังจากสอบข้อเขียนเสร็จ ก็รอประกาศผลค่ะ คนจะถูกคัดออกไปค่อนข้างเยอะ ส่วนตัวคิดว่าส่วนใหญ่ที่เป็นตัวกรองออกจะเป็น Study Plan มากกว่าผลสอบอีก
ใครที่ผ่านสัมภาษณ์ก็จะได้ตารางวันนัดสอบสัมภาษณ์มาอีกทีค่ะ
วันสอบ สอบที่สถานทูตญี่ปุ่น แต่งตัวให้เรียบร้อย ใส่สูท ใครที่รู้ภาษาญี่ปุ่นลองเช็คมารยาทในการเข้าห้องสัมภาษณ์ใน Youtube
ตอนสอบสัมภาษณ์สามารถเลือกได้ค่ะว่าจะสอบเป็นภาษาญี่ปุ่นหรืออังกฤษ ผู้คุมสอบเป็นคนญี่ปุ่นค่ะ ปีเรารู้สึกว่าจะสัมภาษณ์แบบ 4 ต่อ 1 (หรือ 3 ไม่แน่ใจ) เตรียมตัวซ้อมพูดไว้เยอะ ๆ วันสอบจริงเอาพอร์ตเข้าไปได้ แต่เอาโพยเข้าไปไม่ได้ ห้ามกระเป๋า ห้ามมือถือ
ก่อนเข้าห้องสอบจะมีใบคำถามที่เราต้องตอบมาให้เราเตรียมตัวประมาณ 5 นาทีค่ะ ส่วนใหญ่ก็คือแนะนำตัว พูดว่าจะไปทำอะไร มีแผนวิจัยอะไร เข้าเรื่องไปเลยไม่ต้องเท้าความเยอะ เพราะเค้ามีประวัติของเราอยู่แล้ว
ใครที่ Study Plan ไม่เป็นรูปธรรมพอก็อาจจะโดนถามเพิ่ม ของเราไม่โดน แต่โดนถามประมาณว่า
“ทุนนี้เป็นทุนที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่น การที่เธอไปเรียนวาดรูปต้นไม้มันจะเกี่ยวอะไรด้วยเหรอ”
โอ้มายก้อด เหวอไปเลย (หนูแค่อยากไปเรียนวาดรูปง่ะ)
ก็ตอบแบบสวย ๆ เท่าที่สมองจะคิดออกตอนนั้นค่ะ แบบ อืมก็เอาความรู้ที่ได้จากญี่ปุ่นมาถ่ายทอดให้คนไทยต่ออีกทีโดยการเขียนหนังสือ (ซึ่งอนาคตไม่รู้จะได้เขียนจริง ๆ ไหม) อะไรประมาณนั้น
แล้วก็มีคำถามประมาณว่า
“การศึกษาวาดรูปต้นไม้มันมีประโยชน์อะไรกับการเขียนการ์ตูนด้วยเหรอ”
กะ ก็ทำให้วาดฉากเรียลขึ้นค่ะ แบบว่าดูสมจริงมากขึ้น คนก็จะอินกับการ์ตูนมากขึ้น เพราะฉากมันก็สำคัญ (…)
แล้วเราก็ยื่นพอร์ตว่าเคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับไปเรียนต่อม.ปลายและมหาลัยประเทศญี่ปุ่น (เนี่ยๆๆ หนังสือเชื่อมความสัมพันธ์และส่งเสริมประเทศญี่ปุ่นเลยค่าา) และเคยได้ประกาศษณียบัตรเรียนดีตอนอยู่ม.ปลาย ไม่เหลวไหลแน่นอนค่าา
ยอมรับว่าออกมาจากห้องสอบสัมภาษณ์ไม่คิดว่าตัวเองจะผ่านเลยแม้แต่นิดเดียว แบบสมองโล่งเลยค่ะจำไม่ได้ว่าโดนถามอะไรและตอบอะไรไปบ้าง จำมาได้แค่นี้แหละ ตอนนั้นคิดว่า ถือว่าครั้งนี้มาลองสอบ ปีหน้าจะได้รับมือได้! อะไรประมาณนี้
สรุปสอบผ่าน ติดทุนค่ะ เย้!
7. เอกสารหลังสอบผ่าน
หลังจากสอบผ่านแล้วทางสถานทูตจะนัดรับเอกสารเพิ่มเติมและฟังคำอธิบายเกี่ยวกับทุนค่ะ เอกสารเยอะมากกกกกก เอกสารสมัครสอบเป็นเรื่องจิ๊บ ๆ ไปเลย แต่ฝ่ายการศึกษาอธิบายครบไม่ต้องห่วงค่ะ ถ้ามีคำถามอะไรสามารถอีเมลไปถามได้ด้วย เจ้าหน้าที่ใจดีมากก
เอกสารที่ยากหน่อยก็น่าจะเป็นการยื่นเรื่องทุนกับทางมหาวิทยาลัย ต้องให้ทางอาจารย์ที่ปรึกษาที่เราเล็งไว้รับเราเป็นนักศึกษาวิจัย แต่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มีไกด์สำหรับการยื่นเรื่องของนักเรียนทุนไว้ในเว็บไซต์อยู่แล้ว เราก็เตรียมเอกสารให้ครบแล้วส่งจดหมายไปเป็นเซ็ต สายอาร์ตก็ยื่นพอร์ตไปด้วย
เรายื่นไป 2 ที่ค่ะ เผื่อไม่ติดที่แรกที่เล็งไว้
สรุปได้ตอบรับกลับมาทั้งสองที่ เราก็ยื่นเอกสารตอบรับเหล่านั้นให้ทางสถานทูต และสุดท้ายแล้วสถานทูตก็จะประกาศมหาวิทยาลัยที่เราจะไปเป็นนักศึกษาวิจัยอีกทีค่ะ แต่ส่วนใหญ่ก็ตามลำดับที่เราเลือกไว้
หลังจากเอกสารผ่านทุกอย่างแล้ว ก็จะมีนัดปฐมนิเทศอีกทีก่อนไปเรียนต่อ จริง ๆ มีงานแนะแนวและเลี้ยงส่งโดยรุ่นพี่ทุนรัฐบาลญี่ปุ่นด้วย แต่เราไม่อยู่พอดีเลยไม่ได้ไปค่ะ TvT
ส่วนเรื่องที่พักหลังจากได้ทุน มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะมีหอพักนักเรียน/หอพักนักเรียนต่างชาติ ให้เข้าพักอยู่แล้ว สามารถดูข้อมูลได้ในเว็บไซต์ค่ะ
■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■
ข้อมูลเกี่ยวกับการสอบทุนที่เรารู้ก็ประมาณนี้!
ถ้ามีคำถามเพิ่มเติมสามารถถามไว้ในช่องคอมเมนต์ได้เลยนะคะ ข้อไหนตอบได้จะตอบให้ค่า
หลังจากนี้ก็จะเป็นนักเรียนทุนเต็มตัวแล้ว! เป็น Research Student ของ Tokyo University of the Arts ค่ะ สาขา Japanese Painting น่าจะมีเรื่องให้อัพบล็อกอีกเยอะเลย แล้วจะมาอัพเดตเรื่อย ๆ นะคะ
เจอกันเอนทรี่หน้า น่าจะอยู่ญี่ปุ่นแล้ว!
ขอบคุณที่อ่านค่า
■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■–□–■